วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เสริมเรื่องการใช้ฟืนอบเห็ดฟาง

 ขอเสริมอีกนะครับจะได้เข้าใจและง่ายต่อการปฏิบัติ
          ฟืนที่ใช้ในการอบเห็ดฟางนะครับถ้าเป็นแถวบ้านของผู้เขียนยังพอหาได้นะครับผมเห็นบางที่ที่ผมไปดูอะครับผมเห็นเขาใช้ยางรถยนต์ในการอบ  ซึ่งผมก็เคยลองใช้นะครับก็ถือว่าดีครับในจังหวะที่เรากำลังเร่งไฟตอนเติมน้ำครั้งแรกตอนที่วัสดุเพาะยังไม่สุก ถ้าไม่เร่งไฟไว้อุณหภูมิจะลดแบบฮวบฮาบเลยนะครับผมเลยใช้ยางรถมอเตอร์ไซด์เร่งไฟ ผลที่ได้รับครับเวลาแคะจมูกจะมีเขม่าดำๆติดมือออกมา  แต่อย่าเอะไปนะครับผมมีวิธีเร่งไฟแบบง่ายๆตอนเติมน้ำ
          วัสดุที่ใช้หาได้ง่ายๆครับ  หาตอไม้ไผ่ครับมาเก็บไว้เยอะๆ ให้เป็นลูกไฟ  ทำให้ไฟลุกดีเหมือนกันเวลาเติมน้ำก็ยัดเข้าไปในเตาอบ เมื่อกากข้างในสุกอุณหภูมิในโรงเรือนจะคงที่แต่ เราก็ต้องดูฟืนเรื่อย ๆ นะครับ ทำไมต้องดูเรื่อยผมมีประสบการตรงครับ
          เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาครับผมก็อบเห็ดธรรมดานี่แหละเมื่อได้อุณหภูมิแล้ว (70 องศา)ผมปล่อยให้ไหลไปอีก 2 ชั่วโมง ผมยัดฟืนใส่เตาไว้แล้วไปกินข้าวที่บ้านประมาณ20-30 นาที กลับมาครับ ผมเห็นไฟกำลังไหม้กอไผ่ที่อยู่ใกล้ ๆ กับโรงเห็ด  และไม้ไผ่ไม้ยูคาที่ผมกองไว้แต่โรงเห็ดกำลังลามขึ้นแสลม   เห็นครั้งแรกผมทำอะไรไม่ถูกครับเลยคิดว่าต้องเอาน้ำมาฉีดไปดูก๊อกน้ำโดนไฟไหม้แตกเรียบร้อยฉิบหายแล้วคราวนี้ !  เพราะไฟไหม้เป็นวงกว้าง ซึ่งทางหนึ๋งกำลังจะไหม้โรงเห็ด ทางหนึ่งก็กำลังจะถึงกองฟาง  อีกทางหนึ่งกำลังไหม้เข้าสวนคนอื่นซึ่งมีบ้านอยู่  อีกทางหนึ่งก็กำลังเข้าสวนยูคาเขา  คิดดูนะครับเดือนเมษา แล้งขนาดไหนทั้งใบไม้แห้งเอย ใบไผ่เอย  จึงบอกตัวเองใจเย็นๆ
 ตรงไหนไหม้ควรดับก่อนน่าจะเป็นโรงเห็ดของเราก่อนแหละเพราะกำลังไหม้แล้ว มองดูไม้ไผ้กับยูคาที่ดัดไว้น่าจะไม่ทันจึงปล่อยให้ไหม้ซะให้สะใจ  มองดูกอไผ่นี่ก็ไม่อันตรายเท่าไรมองดูทางไหนไม่มีคนผ่านมาเลย มองไปที่สวนเขา   อ้าวมันกำลังจะไหม้บ้านเขาแล้วต้องไปดับก่อนแล้วก็ไปดับที่กองฟางโดยใช้ใบไม้สดตีดับเอา

 
จากนั้นก็ไปที่สวนยูคาพอดีมีเด็กผ่านมาเลยบอกให้ไปเรียกคนที่อยู่ใกล้ๆ มาดับช่วย แล้วคนไม้รู้มาจากไหนครับมาดับไฟช่วยกันค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย
           เกือบฉิบหายเหมือนกันนะครับใครจะคิดว่าไปแป๊บเดียวจะอลังการได้ขนาดนี้  ก็ขอเตือนทุกท่านนะครับว่าอย่าประมาทจะไปไหนดูฟืนดูไฟให้ดี ๆ การอบเห็ดเดี๋ยวนี้เขามีการอบโดยแกสหุงต้มซุึ่งเตาแบบนี้ราคาไม่แพง 8000 กว่าบาท ผมเห็นอยู่อยุธยา  ซึ่งเจ้าของเขาบอกว่ายินดีให้แบบไปทำเอง โดยไม่คิดเงิน หรือจะสั่งซื้อกับเขาก็ได้ 
วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ คอมเม้นท์กันบ้างนะครับไม่อยากพูดคนเดียว



วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

 การอบไอน้ำฆ่าเชื้อจุลินทรีย์
                    หลังจากเลี้ยงเชื้อราจนได้ที่แล้ว ให้เริ่มงานในตอนเช้ามืด โดยฉีดน้ำลดวัสดุเพาะให้ชุ่มแต่ไม่ให้ถึงขนาดน้ำไหลหยดลงมาใต้ชั้นเพาะมากนัก เพราะจะทำให้เสียธาตุอาหารไปกับน้ำ อันนี้เป็นเคล็ดลับในการอบไอน้ำ ไม่ค่อยมีผู้อบรมรายใดให้ความรู้ไว้ การให้น้ำจะเป็นการใช้น้ำเป็นสื่อในการนำความร้อนเข้ากองเพาะ ในกรณีที่ความชื้นในกองเพาะไม่พอ และมีการกองวัสดุหนามาก ถ้าไม่ให้น้ำจะอบไอน้ำไม่เข้าถึงข้างในกองเพาะหรือให้เข้าถึงก็จะเสียเวลาในการอบไอน้ำนานมาก ๆ
                    การอบไอน้ำไม่เข้าถึงกองเพาะจะทำให้พอเก็บเห็ดไปเกิน 10 วันจะมีปัญหา เรื่องวัชเห็ดกับแมลงไร อีกอย่างการอบไอน้ำเป็นการไล่ความชื้นส่วนเกินออกจากกองเพาะด้วย ส่วนอุณหภูมิที่จะใช้ในการอบให้ใช้อุณหภูมิสูงสุดของกองเพาะตอนหมักวัสดุเพาะ (สมมุติ 55 องศา) บวกด้วย 10 องศา (เป็น 65 องศา) ในกรณีที่เก็บเห็ดรอบเดียวคือ 5-7 วัน ให้อบนาน 3 ช.ม. (โดยเริ่มจับเวลาตอนจับอุณหภูมิได้สูงถึง 65 องศา และเมื่อทำอุณหภูมิสูงได้แล้วต้องดูแลเชื้อเพลิง อย่าให้อุณหภูมิลดลงระหว่างจับเวลา) หากเก็บเห็ดรอบสองด้วย ประมาณ 10-14 วัน ต้องอบนาน 5 ช.ม. หากเก็บเห็ดนานกว่านั้นให้อบที่ 6 ช.ม. ในกรณีที่ใข้ฝางปูรองวัสดุเพาะ ถ้าอบไอน้ำไม่ถูกต้อง จะเริ่มมีปัญหาเรื่องแมลงไร เมื่อเก็บเห็ดเลย 12 วัน แต่ในกรณีใช้ทลายปาล์ม จะไม่ค่อยมีปัญหา 

                    เรื่องแมลงไรนี้บ้างคนไม่เข้าใจปัญหา ทำให้ต้องเลิกเลี้ยงไปเลยก็มี ในความเห็นของผม ถ้าเริ่มมีไรก็ควรจะรื้อทิ้งได้ แต่บางที่เห็ดมันยังออกมากอยู่ เกิดความเสียดาย ให้ใช้สารคาร์บาริล ชื่อการค้า เซฟวิน85 หรือ เอส85 ฉีดพ่นบนแปลง สารนี้ไม่มีพิษในสัตว์เลือดอุ่น แต่เป็นพิษต่อปลา และในตัวเห็ดก็มีสารหุ้มตัวมันเอง ถ้าผู้บริโภคล้างน้ำก่อน ก็แทบไม่มีสารพิษที่ตกค้างในเห็ดเลย และถ้าคุณขยันให้ใช้ตะไคร้ ทั้งรากต้นและใบ 1 ส่วน กระเพราะใบและดอก 1 ส่วน โดยน้ำหนัก นำมาตำให้ละเอียด แช่ในน้ำ E.M. มักไว้ 2 คืน กรองเอาน้ำที่ได้ 1 ส่วนผสมน้ำ 5 ส่วน นำมาใช้ฉีดพ่น เนื่องจากพืชทั้ง 2 ชนิดมีน้ำมันหอมละเหย ซึ่งแมลงไม่ชอบกลิ่นจะใช้ไล่แมลงได้หลายชนิดครับ โดยให้ฉีดพ่นตั้งแต่เก็บเห็ดได้ 7 วันให้ฉีดทุก 2 วัน เพื่อเป็นการกลบกลิ่นพืช อันนี้ถ้าใครแก้ปัญหาไรไม่ได้ ต้องเพิ่มขั้นตอนงานตัวนี้ แต่ควรจะเน้นการอบไอน้ำที่อุณหภูมิสูงขึ้นและระยะเวลาการอบไอน้ำให้ยาวขึ้นมากกว่า การอบไอน้ำที่ถูกต้อง ถ้าอบได้อุณหภูมิสูงพอและเวลาที่เหมาะสม เมื่ออบไอน้ำเสร็จตอนเข้าไปในโรงเรือน เพื่อให้หัวเชื้อจะรู้สึกหอมครับ ถ้าไม่หอมก็แสดงว่ายังอบไอน้ำได้ไม่นานพอหรือที่อุณหภูมิไม่สูงพอ ในครั้งหน้าต้องเพิ่มครับ  
                    การวัดอุณหภูมิในโรงเรือน ให้ใช้ที่วัดแบบที่เป็นหลอดแก้ว ราคาประมาณ 100 บาท เสียบเข้าไปภายในโรงเรือน ให้วัดสูงกว่าพื้น 1 เมตร โดยไม่ไห้ส่วนปลายปรอทสัมผัสถูกผนังโรงเรือน
จากนั้นให้รอจนอุณหภูมิภายในโรงเรือนลดลงเหลือ 38-40 องศาให้ทำการให้หัวเชื้อ อย่าให้หัวเชื้อในระหว่างที่อุณหภูมิภายในโรงเรือนต่ำกว่านี้ เพราะจะทำให้เส้นใยเดินไม่ดี และถ้าให้หัวเชื้อในขณะที่อุณหภูมิในโรงเรือนสูงกว่า 42 องศา ผู้ให้หัวเชื้อก็จะรู้สึกไม่สบายตัว และเชื้อก็อาจจะตายเพราะอุณหภูมิในกองเพาะสูงจะกว่าอุณหภูมิของโรงเรือน 

                    หัวเชื้อต้องพอแก่พอดีใช้ ถ้าใยเดินไม่เต็มถึงก้นถุงจะได้เส้นใยเห็ดน้อย เห็ดที่เกิดจากเส้นใยก็น้อยตาม ถ้าเป็นสีน้ำตาลแล้ว จะได้เส้นใยน้อยแต่เห็ดสามารถเกิดได้เลยจากวัสดุของหัวเชื้อ ไม่ได้เกิดจากการเดินของเส้นใย ทำให้ต้องใช้เป็นปริมาณมากคือ 1.5 ถุง ต่อตารางเมตร ปกติใช้ 0.8-1 ถุงต่อตารางเมตร
                  หมดเวลาครับ เอาไว้ตอนหน้าจะพูดต่อเรื่องการให้หัวเชื้อครับ อย่าลืมแนะนำพูดคุยกันบ้างนะครับ ไม่อยากพูดคนเดียว


วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วัสดุเพาะขึ้นชั้น


         การกองวัสดุเพาะในโรงเรือน ขั้นตอนนี้ผู้ให้ความรู้ส่วนใหญ่เพียงแต่บอกว่าให้ปูฟางหนาเท่านั้น กองวัสดุเพาะหนาเท่านี้แล้วก็จบ จริง ๆ แล้วสำหรับผู้เพาะเลี้ยงรายใหม่ 80 เปอร์เซ็นต์ ล้มเหลวเพราะกองวัสดุเพาะในโรงเรือนไม่ถูกต้อง
        
             การปูฟางรองวัสดุเพาะ ในชั้นบนสุดให้ใช้ฟางหนากว่าชั้น อื่น ๆ กว่า 1-2 นิ้วฟุต และในชั้นล่างให้ใช้ฟางน้อยกว่าเช่นเดียวกัน เพราะความร้อนชั้นบนร้อนกว่าเนื่องจากความร้อนของหลังคา ทำให้ความชื้นน้อยกว่าครับ  การกองวัสดุต้องปูฟางลองให้ครบทุกชั้นก่อน จากนั้นให้กองวัสดุเพาะจากชั้นบนลงมาชั้นล่าง โดยให้รดน้ำที่ฟางให้ชุ่มทุกชั้นแต่ไม่ให้หยดทิ้งมาก ก่อนกองวัสดุเพาะให้ทำทีละแถวหรือที่ละต๊งครับ
วัสดุเพาะมี 2 ส่วน คือส่วนที่ปูรองวัสดุเพาะ กับตัววัสดุเพาะ
วัสดุที่ปูรองวัสดุเพาะ
          ส่วนใหญ่จะใช้ฟางข้าว หากคุณมีไม่กี่โรงเรือนและไม่มีปัญหาเรื่องแรงงาน คุณควรจะมักวัสดุปูรองโดยนำฟางแช่น้ำ 1 คืน จากนั้นนำขึ้นสะเด็ดน้ำ ให้แห้ง อัดลงในกระบะหมัก ฐานกว้างยาว ด้านละ 1 เมตร สูง 1 เมตร ด้านบนกว้างยาวด้านละ 80 ซ.ม. เพื่อให้ถอดกระบะออกได้ง่าย เหยียบอัดฟางให้แน่น แล้วถอดกระบะออก ใช้ E.M. 500 c.c. ผสมปุ๋ยสูตรเสมอ 16-16-16 กับปุ๋ยยูเรีย ในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 น้ำหนัก 3 ขีด ผสมน้ำ 3 ลิตร รดให้ทั่วด้านบน คลุมผ้าทิ้งไว้ 2 คืน และก่อนนำไปใช้จะต้องทำการกลับกองเพื่อให้แก๊สแอมโมเนียระเหยออกไป การหมักวัสดุปูรองจะทำให้กองเพาะคุณสามารถเก็บความชื้นได้ดีขึ้น และช่วยเพิ่มผลผลิตให้คุณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ นี่เป็นประสบการณ์ที่ผมเคยใช้ครั้งแรกนะครับแต่ปัจจุบันไม่ใช้แล้วเพราะความขี้เกียจครับ

วัสดุเพาะ
          หลังจากที่คุณหมักวัสดุเพาะเรียบร้อยแล้ว หากคุณมีเครื่องตีป่น ก็ให้ตีป่นวัสดุเพาะ แต่ถ้าไม่มีในการกลับกองแต่ละครั้ง คุณจะต้องพยายามทำให้กากมัน  แกลบ และวัสดุอื่น ๆ เข้ากันให้มากที่สุด การตีป่นวัสดุเพาะไม่ได้ทำให้คุณประหยัดวัสดุเพาะ แต่ประหยัดแรงงานในการกลับกองเพาะ หากคุณทำโรงเรือน 5 โรงเรือนขึ้นไปควรจะมีไว้ใช้
ปกติวัสดุปูรองเป็นแหล่งเก็บความชื้นให้กับกองเพาะ หากปูรองน้อยเกินไปจะทำให้กองเพาะแห้ง ปูมากไปไม่มีผลเสียแต่เปลือง ปกติให้ปูรองหนา 4-5 นิ้ว ทุกฤดู หลักจากปูเรียบร้อยแล้วให้รดน้ำให้ชุ่ม จากนั้นให้ปูวัสดุเพาะทับหน้า ส่วนว่าจะหนาเท่าไร ขึ้นอยู่กับอายุการหมักวัสดุเพาะ ชนิดของวัสดุเพาะ ความชื้นของวัสดุเพาะ และอุณหภูมิของอากาศ ปกติให้กองหนา 4-5 นิ้ว แล้วให้จับอุณหภูมิในกองเพาะตอนตี 4 หรือตี 5 ว่าอุณหภูมิในกองเพาะสูงถึง 41 องศาหรือไม่ (ไม่ใช่อุณหภูมิภายในโรงเรือน) ถ้าไม่ได้ให้กองเพิ่มให้หนาขึ้น หากอุณหภูมิภายในกองเพาะน้อยกว่า 38 องศา จะทำให้เห็ดเกิดน้อยมาก ถ้าหมักวัสดุเพาะถูกต้องกองวัสดุเพาะหนาเพียงพอ จะสามารถเก็บดอกเห็ดได้ 2 - 3.5 ก.ก. ต่อตารางเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ใช้ในการเก็บเห็ด หากเก็บเห็ดแค่ 2 รอบจะได้ไม่น้อยกว่า 2 – 2.5 ก.ก. ต่อตารางเมตรครับ
หลังจากปูวัสดุเพาะแล้ว ให้ปิดโรงเรือนให้สนิท เพื่อเลี้ยงเชื้อราต่อ อุณหภูมิในโรงเรือนจะอยู่ประมาณ 42-50 องศา ถ้าทำทุกอย่างถูกต้อง จะเมื่อเห็นว่าวัสดุเพาะเป็นผ้าบาง ๆ ตามผิววัสดุเพาะคล้ายสำลีอยู่ทั่ว ถือว่าใช้ได้ จำนวนวันที่เลี้ยงเชื้อราให้ดูจากผ้าบาง ๆ เกิดขึ้นทั่วแล้ว ผ้าจะขึ้นเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับอุณหภูมิภายในโรงเรือนเป็นหลัก ส่วนใหญ่จะอยู่ประมาณ 2-3 วัน


 
ตอนต่อไปจะพูดถึงวิธีการอบไอน้ำฆ่าเชื้อ อันนี้เป็นพระเอกของงานเพาะเลี้ยงเห็ดแบบโรงเรือนครับ

พอดีมีพี่จากชัยภูมิโทรมาถามครับผมเห็นว่ามีประโยชน์เลยเอามาลงไว้ให้อ่านกันนะครับเผื่อจะได้เอาไปใช้ในการเพาะเห็ดฟาง คือพี่เขามีปัญหาเรื่องแมลงหวี่ในโรงเห็ดฟาง คือแมลงตัวเล็กๆทั้งหลายที่เกิดหลังจากเราตัดใยเห็ดแล้วซึ่งเกิดมากอยู่ประมาณ 4-6 วัน บางคนอาจจะเอายาฆ่าแมลง เช่น ไบก้อน ไปฉีดในโรงเห็ด มันไม่เป็นอันตรายต่อเห็ดแต่จะเกิดการสะสมในเห็ดซึ่งเป็นอันตรายต่อคนกิน วิธีง่าย ๆ คือเอาน้ำมัน พืช หรือน้ำมันหมูเอาไปทาหางใบตองกล้วยหรือใบไม่ที่ใญ่ ๆ หน่อยเอาไปแขวนไว้ตามมุม เมื่อแมลงหวี่บินก็จะติดเอง เห็นไหมครับง่ายนิดเดียวไม่ต้องใช้สารเคมี ไม่เป็นอันตรายต่อคน ถ้ามีปัญหาก็ดทรมาได้นะครับ ที่เบอร์ 086-2605289 E-mail - ty.manu_champ2012@hotmail.co.th หรือ facebook - ซาตาน นักล่า ยินดีนะครับที่มีคนอ่านผมกลัวว่าการทำเห็ดฟางจะหายไปไม่มีใครค่อยถ่ายทอดวิชา ผมเคยทำเห็ดฟางในตะกร้าลองทำดูมันเกิดนะครับแต่ไม่เยอะ แต่ที่ไปเห็นเขาทำจริงๆ เป็นโรงเรือน เห็นเห็ดของเขาแล้วมันเต็มโรงเรือนสอบถามเขาแล้วว่า 1 โรงเรือนได้เท่าไร พี่เขาบอกว่า5 - 6000 บาทต่อ 1 โรงเรือน (ราคาตอนนั้นราคาส่ง 40 บาทต่อกก.


ปัจุบัน ราคากลาง 100 บาทที่ตลาดไทนะครับ) ก็เลยคิดรายได้วันนั้นเลยว่า ถ้าเรามี 2 โรงเรือน เราจะมีรายได้เดือนละ 10000 กว่าบาท นี่ยังไม่รวมค่าอะไรต่างๆ เลยนะครับ กลับถึงบ้านสร้างโรงเรือนเพาะเห็ดฟางเลย ยังไม่ได้ถามเขาเลยว่าเขาทำอย่างไร ซึ่งแต่ก่อนเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วตอนที่ผมอยากทำครั้งแรกต้องจ้างเขามาสอน


ซึ่งเป็นเงินหลายบาท อยู่นะครับ เวลามีปัญหาถามใครเขาก็ไม่ค่อยอยากบอกปัญหา แต่ผมมีความสุขครับจนถึงวันนี้ซึ่งคนที่มาสอนเขาหยุดทำไปแล้วแต่ผมยังทำอยู่ ขอเป็นกำลังใจให้นะครับสำหรับคนที่กำลังเริ่มต้น ผมรับรองว่าเมื่อทำได้แล้วจะมีความสุขครับ ให้ทำจากเล็กไปหาใหญ่ทำเรื่อย ๆ ซึ่งเห็ดฟางในตลาดรับไม่อั้น หรือกลัวไม่มีที่ส่งขายไม่ได้ โทรมาบอกกันถ้าไม่ไกลเกินไปผมยินดีจะไปรับถึงที่นะครับ เดี๋ยวคอยเพิ่มเติมนะครับในวันที่มีเวลาอัพเดต อีก

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ก่อนเอาวัสดุเพาะขึ้นชั้น


วันนี้ว่างขณะกำลังรอแฟนเข้าเวรที่คลินิอยู่ก็เลยมีเวลาอัพเดทเรื่องเห็ดฟางนะครับ ครั้งที่แล้วผมพูดถึงเรื่อง การหมักวัสดุเพาะเห็ดฟางนะครับ พรุ่งนี้ (6 กรกฎาคม 2556) ผมจะเอาเห็ดขึ้นชั้นนะครับสำหรับใครที่สนใจเรื่องการเพาะเห็ดฟางมาดูได้นะครับ วันนี้ผมเลยถือโอกาสพูดเรื่องการทำความสะอาดโรงเรือนก่อนเลย เพราะส่วนใหญ่ไม่มีใครพูดถึง ทั้ง ๆ ที่การล้างโรงเรือนมีผลต่อผลผลิตในรุ่นต่อไป ตัวผมเองตอนทำใหม่ ๆ ก็ไม่เข้าใจปัญหา มีวิธีการดังนี้ครับ
         อย่างที่เคยกล่าวในตอนต้น ๆ อาชีพการเกษตรนั้นจะต้องสะอาด ไม่เช่นนั้นจะสะสมโรคและแมลง อีกอย่างเชื้อจุลินทรีย์บางชนิด สามารถสร้างเกาะป้องกันตัวเอง ให้ทนต่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อดำรงสายพันธุ์ของตัวมันเอง บางชนิดสามารถรอฟักตัวได้เป็น 100 ปี บางชนิดทนอุณหภูมิสูงได้มากกว่า 120 องศา เพราะฉะนั้นการอบไอน้ำในโรงเรือนเป็นแค่เพียง ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ได้บางชนิด แต่บางชนิดจะอ่อนแอลงไม่สามารถเติบโตแข่งขันกับเห็ดฟาง สาเหตุที่เกษตรกรส่วนใหญ่ต้องทำการพักโรงเรือน เนื่องจากต้องการให้โรงเรือนแห้ง ไม่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อเขื้อโรค ทำให้การขยายตัวต่อไปเป็นไปได้น้อยลง ซึ่งจริง ๆ แล้วมันยังคงมีตัวตนอยู่

วิธีปฏิบัติในการล้างโรงเรือน
1.ก่อนอื่นต้องทำการเปิดประตู หน้าต่างโรงเรือน ทุกด้านให้หมดก่อน ถ้าคุณสร้างโรงเรือนตามที่ผมบอกในตอนต้น (ตอนบอกให้สร้างโรงเรือนผมลืมบอกไปว่าต้องให้เปิดชายผ้าได้สูงอย่างน้อย 30 ซ.ม.) และเปิดชายผ้าทิ้งไว้

2.หลังจากเก็บวัสดุเพาะออกนอนโรงเรือนเรียบร้อยแล้ว ต้องทำการล้างน้ำทันที เพราะถ้าปล่อยให้แห้งแล้วจะล้างยากยิ่งขึ้น เกษตรกรส่วนใหญ่จะไม่ล้างเลย
3.การล้างให้ใส่ถุงมือผ้า ถ้าให้ดี 2 ชั้นเลยครับ ฉีดน้ำพร้อมกับเอามือที่สวมถุงมือลูบทุก ๆ ที่ ต้องไม่ให้มีเศษวัสดุ หรือคาบสกปรกค้างอยู่บนชั้นวาง ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่จะไม่ใส่ใจมากนัก ส่วนใหญ่จะมีวัสดุเพาะหลงเหลืออยู่พอสมควร

4.ฉีดน้ำล้างผนังโรงเรือนทุกด้านให้หมด
5.ให้กวาดเศษวัสดุที่อยู่ตามพื้นให้หมด ถ้าไม่ได้เทพื้นปูนก่อนทำการล้างชั้นต้องปูผ้าพลาสติก เวลากวาดจะทำงานง่ายขึ้น
6.คุณจะต้องกวาดเศษวัสดุเพาะ ที่อยู่รอบโรงเรือนให้หมด (หมายถึงด้านหลังชายผ้า)
7.กวาดเรียบร้อยแล้วให้ฉีดน้ำชั้นให้เปียกน้ำอีกครั้งแล้วใช้ปูนขาวก่อสร้าง (อย่างอื่นผมลองแล้วไม่ค่อยดี สู้ปูนขาวก่อสร้างไม่ได้ แพงกว่านิดหน่อย) สะบัดโปรยไปให้เป็นละอองเหนือชั้นแต่ละชั้นให้ทั่ว ในปูนขาวมีแคลเซียม ซึ่งมีสรรพคุณในการยังยั้งเชื้อราได้หลายชนิด อีกทั้งตัวมันมีความเป็นด่างเมื่อโดนน้ำจะลดความเป็นกรดของไม้ที่ทำชั้นวาง เป็นการป้องกันราและรักษาชั้นวางให้ใช้งานได้นานขึ้น

8.ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งจะนานแค่ไหน ให้สังเกตไม้ที่ทำชั้นวางแห้งสนิทเป็นใช้ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลมและความชื้นของอากาศ และลักษณะการก่อสร้างโรงเรือนเป็นสำคัญ
9.สุดท้ายก่อนนำวัสดุเพาะเข้าโรงเรือนให้ฉีดน้ำล้างปูนขาวอีกครั้ง ถ้ามีเห็ดไผ่ขึ้นบนชั้นไม่เป็นไรให้ใช้มือใส่ถุงมือลูบทิ้งไป
ถ้าทำดังนี้แล้ว โรงเรือนของคุณก็อยู่ในสภาพที่พร้อมจะใช้งานโดยไม่มีผลเสียใด ๆ

อนึงปกติในการทำการเกษตรทั่ว ๆ ไป ปกติจะมีการฉีดยาฆ่าเชื้อราด้วย โดยเฉพาะในสวนส้มและมะนาว มะละกอ มะเขือเทศ องุ่น และผลไม้เปลือกบาง ในการทำเกษตรชีวภาพ จะใช้ปูนขาวก่อสร้าง 1 ข้อนโต๊ะ ปูนแดงกินกับหมาก 2 ช้อนโต๊ะ ถ้ามีน้ำด้วยก็ตักเติมเพิ่มไปได้ ผสมน้ำยาจับใบ(ไม่ใช่เปียกใบ เป็นคนละอย่าง ถ้าเปียกใบราคาจะกูกกว่าจับใบเกือบเท่าตัว) เกลือแกง 2 ข้อนโต๊ะ น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นเพื่อปัองกันเชื้อราและแบคทีเรีย ทุก 10-15 วันครั้ง ฉีดป้องกันนะครับ ถ้าเป็นโรคแล้วใช้ยาอะไรก็ฉีดแก้ไม่ได้ครับ ได้แค่บรรเทาหรือไม่ให้เป็นมากขึ้น อีกอย่างห้ามใช้ปนกับสารอื่น เพราะจะเข้มข้นหรือหักล้างฤทธิ์ยาตัวอื่น
ในพริก ถ้าใบหงิกให้เพิ่มปุ๋ยยูเรีย 10 ช้อนโต๊ะฉีดพ่น ใบจะร่วงหมดเพราะสารเข้มข้น จากนั้นจะแตกใบใหม่ สวยเหมือนเดิมครับ




วันนี้ขอนอกเรื่องหน่อยนะครับ

หลายสิ่งที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับเดวิด มอยส์



เดวิด มอยส์ อาจจะถูกจับตามองเป็นอย่างมากกับฤดูกาลแรกของเขาในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และเราเองต่างก็รู้ดีว่าคำตอบสำหรับปัญหาโลกแตกนั้นมันอยู่ที่ว่าเขาจะทำให้โอลด์ แทรฟฟอร์ด เป็นสถานที่สำหรับเก็บถ้วยรางวัลต่อไปเหมือนเดิมได้หรือเปล่า

แต่ก่อนนั้นเขาอาจจะยังไม่รู้ถึงเรื่องนี้ แต่เมื่อปีกว่าๆ มานี้ มอยส์ก็ถูกวางอนาคตเอาไว้แล้วในการเป็นตัวตายตัวแทนสำหรับแผนการรีไทร์ของเซอร์ อเล็กซ์

อันที่จริงเซอร์ อเล็กซ์ อาจจะเดินออกจากโอลด์ แทรฟฟอร์ด ไปก่อนหน้านั้นแล้ว หากว่าเขาพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก ในปี 2012 มาครองได้สำเร็จ ซึ่งนั่นจะเป็นการก้าวลงจากตำแหน่งในขณะที่ยังอยู่ในจุดสูงสุด แต่กลายเป็นว่า เซร์คิโอ อเกวโร่ ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ดันมายิงฉกถ้วยแชมป์ลีกจากมือทีมปีศาจแดงไปครองอย่างหน้าตาเฉย นั่นทำให้ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จำเป็นจะต้องเดินหน้าลุยต่ออีกฤดูกาล

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ทีมเรือใบสีฟ้าได้เฮกันในวันสุดท้ายก็มาจากตัวของมอยส์ด้วย ขณะที่เหลืออีก 4 เกมให้ลงเล่น ผู้จัดการทีมเอฟเวอร์ตันก็พาลูกทีมบุกมาคัมแบ็คแบ่งแต้มจากโอลด์ แทรฟฟอร์ด กลับออกไปได้แบบเหลือเชื่อ ขณะที่เหลือเวลาในเกมอีก 8 นาที แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายขึ้นนำอยู่ 4 - 2 ซึ่งหากพวกเขาเอาชนะได้ก็จะถือว่าเข้าใกล้ตำแหน่งแชมป์เต็มทน

แต่ประตูจาก นิคิก้า เยลาวิช และ สตีเว่น พีนาร์ ก็ทำให้ 2 คะแนนในมือของทีมปีศาจแดงหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา และเซอร์ อเล็กซ์ ก็ยอมรับว่าผลเสมอ 4 - 4 จากเกมนี้เป็นผลการแข่งขันที่ทำให้ความหวังคว้าแชมป์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องพังทลายลง

สปิริตนักสู้ของทีมจากเมอร์ซี่ย์ไซด์คือสิ่งที่มอยส์ได้สร้างให้กับลูกทีม ซึ่งมันก็ทำให้เซอร์ อเล็กซ์ รู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก เขาเน้นย้ำว่าต้องการให้มอยส์เขามาแทนที่ของตัวเขาเองที่จะออกจากทีมไปในเดือนพฤษภาคม และก็คงจะตัดสินใจแบบเดียวนี้ในปีที่แล้ว หากว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนของเขา

อีกหนึ่งชัยชนะของเอฟเวอร์ตันในวันเปิดฤดูกาลที่สนามกูดิสัน ในเกมพบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เป็นการเพิ่มประวัติการทำงานที่ดียิ่งไปอีกให้กับมอยส์ แม้ว่าผลการแข่งขันในเกมดังกล่าวจะไม่ได้ส่งผลต่อการคว้าแชมป์ลีกทิ้งท้ายสำหรับเซอร์ อเล็กซ์ ก็ตาม

นับว่ามอยส์นั้นมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะทำให้แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ศรัทธาในตัวเขา พวกเขาจะต้องเชื่อว่ายุคใหม่นี้จะไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ความสำเร็จของทีมต้องขาดตอนไป หากคุณกำลังมองหาคนที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ประทับตราการันตีความสามารถ ก็คงจะไม่มีใครที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว

สำหรับแฟนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บางคนที่โตมาในยุคของผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษอาจจะตระหนักว่าทีมปีศาจแดงอาจกำลังเดินถอยหลัง แทนที่จะเร่งเกียร์ไปข้างหน้า

ชัยชนะในลีก 2 ครั้งล่าสุดของทีมในปี 2011 และ 2013 นั้น ทีมสปิริตอันแข็งแกร่งคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทีมคว้าแชมป์มาครองจากตำแหน่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ คุณภาพของเกมนั้นมันก็ยังมีอยู่ เพียงแต่ว่าในแง่ของความสนุกตื่นเต้นนั้นอาจจะไม่โดนใจแฟนบอลที่ชื่นชอบเกมบุกตามแบบฉบับของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

มันจึงเกิดความกลัวขึ้นในกลุ่มแฟนบอลปีศาจแดงว่าทีมอาจจะต้องตกเป็นฝ่ายเดินตามหลังบาร์เซโลน่าต่อไปเวทียุโรป รวมถึงแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเชลซีในประเทศด้วย สำหรับยุคใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็แสดงว่านี่เป็นงานที่ยิ่งใหญ่เกินไปสำหรับสไตล์การทำทีมของมอยส์ และโอกาสที่ทีมจะได้เกิดใหม่อีกครั้งหลังพ้นยุคของเซอร์ อเล็กซ์ ที่กินเวลา 26 ปีก็ต้องสลายไป แต่ว่าจะมีใครอีกที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ควรมองหา?

หลังจากที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พร้อมกลับมารับงานคุมทีม เขาก็เลือกไปรับตำแหน่งกับบาเยิร์น มิวนิค หลังแยกทางกับบาร์เซโลน่ามาพักใหญ่ๆ นั่นหมายความว่าเป้าหมายอันดับหนึ่งเป็นอันต้องถูกลบชื่อออกไปอย่างช่วยไม่ได้

หากว่าคุณกำลังมองหาคนที่มีความสำเร็จการันตีทั้งในประเทศอังกฤษและเวทียุโรปแล้วล่ะก็ โชเซ่ มูรินโญ่ สามารถตอบโจทย์ตรงนี้ได้ครบถ้วน แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่ว่าเจ้าของฉายาใหม่สดๆ ร้อนๆ เดอะ แฮปปี้ วัน นั้นไม่ใช่คนที่เหมาะสมที่สุดที่จะเข้ามาทำงานในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด

นับว่าเขาหลุดโผไปแล้ว คุณอาจจะหันไปมองคนที่พาทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เข้าชิงถ้วยยุโรปอย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ แต่เขาก็เพิ่งประสบความสำเร็จในเยอรมันมาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้นเอง

ลองนึกย้อนไปเมื่อปี 2002 เมื่อเซอร์ อเล็กซ์ ประกาศเตรียมวางมือเป็นครั้งแรก เคล้าส์ ท็อปป์โมลเลอร์ ของไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ก็เคยกลายเป็นตัวเก็งที่จะเข้ามารับตำแหน่งต่อ แต่ 12 เดือนต่อมา เลเวอร์คูเซ่นก็ไล่ท็อปป์โมลเลอร์ออกจากการเป็นผู้จัดการทีม ซึ่งนั่นจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคล็อปป์เหมือนกันหรือเปล่าก็ยังไม่มีใครรู้

มีเสียงสนับสนุน โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ พอสมควร หลังจากที่ตำนานปีศาจแดงได้พาทีมโมลด์ของนอร์เวย์คว้าแชมป์ลีกได้ติดกัน 2 ฤดูกาล แต่นั่นก็ไม่ใช่ผลงานที่ดีเพียงพอที่จะทำให้เขามาทำหน้าที่ในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้ในตอนนี้ แม้ว่าแฟนๆ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะพร้อมอดทนรอคอยความสำเร็จ โดยมอบทั้งเวลา และศรัทธาในตัวเขาก็ตาม

ดังนั้นมันจึงต้องมาดูกันที่ประสบการณ์ในพรีเมียร์ ลีก รวมถึงการยืนระยะเป็นเวลานาน ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามอยส์มีคุณสมบัติข้อนี้เหนือกว่าใครหน้าไหนสำหรับการเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้

การทำงานของเขาที่เอฟเวอร์ตัน เขาอาจจะยังไม่สามารถพาทีมคว้าถ้วยแชมป์มาประดับสนามกูดิสันได้ รวมถึงยังไม่ได้ไปลุยเวทียุโรปแบบจริงๆ จังๆ แต่ก็นับว่ามีน้อยคนนักที่จะไม่เห็นด้วยสำหรับการแต่งตั้งเขาเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ผู้จัดการทีมปีศาจแดงต่อจากเซอร์ อเล็กซ์ ถือว่านั่นคือ 2 สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังเป็นจุดด่างพร้อยในประวัติการทำงานของเขา ซึ่งนั่นจะเป็นเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่สำหรับผู้มาใหม่จากเมอร์ซี่ย์ไซด์คนนี้

อย่างไรก็ตาม การเลือกมอยส์นั้นถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว และแฟนๆ ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็พร้อมกันแล้วด้วยสำหรับทีมที่ไร้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป



ประวัติส่วนตัว
ชื่อ เดวิด วิลเลี่ยมส์ มอยส์
อายุ 50 ปี
สถานที่เกิด ไบลธ์สวู้ด, กลาวโกว์, ประเทศสก็อตแลนด์

อาชีพนักเตะ
กลาสโกว์ เซลติก (1980-1983 ลงเล่น 24 เกม), เคมบริดจ์ ยูไนเต็ด (1983-1985 ลงเล่น 79 เกม ยิง 1 ประตู), บริสตอล ซิตี้ (1985-1987 ลงเล่น 83 เกม ยิง 6 ประตู), ชริวส์บิวรี่ ทาวน์ (1987-1990 ลงเล่น 96 เกม ยิง 11 ประตู), ดันเฟิร์มลิน แอธเลติก (1990-1993, ลงเล่น 105 เกม ยิง 13 ประตู), ฮามิลตัน อคาเดมิคัล (ลงเล่น 5 เกม), เปรสตัน นอร์ธ เอนด์ (1993-1999 ลงเล่น 143 เกม ยิง 15 ประตู)

เกียรติประวัติในฐานะนักเตะ
คว้าแชมป์กับกลาสโกว์ เซลติก ในฤดูกาล 1981-1982 และได้ไปเล่นในเวทียุโรปกับสโมสร คว้าแชมป์ แอสโซชิเอท เมมเบอร์ส คัพ ในปี 1986 กับบริสตอล ซิตี้ และคว้าแชมป์ดิวิชั่น 3 กับเปรสตัน นอร์ธ เอนด์ ในฤดูกาล 1995-96

อาชีพผู้จัดการทีม
ผ่านการอบรมโค้ชครั้งแรกตั้งแต่อายุ 22 ปี
เปรสตัน นอร์ธ เอนด์ มกราคม 1998 - มีนาคม 2002
โอกาสคุมทีมของเขามาถึงในปี 1998 เมื่อ แกรี่ ปีเตอร์ส ก้าวลงจากตำแหน่งที่เปรสตัน และมอยส์ก็ได้รับการโปรโมทให้เป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีมด้วยวัย 34 ปี เขาพาทีมรอดการตกชั้นในฤดูกาลแรกของเขาอย่างหวุดหวิด
เอฟเวอร์ตัน มีนาคม 2002 - มิถุนายน 2013
เปลี่ยนทีมที่ต้องดิ้นรนหนีการตกชั้นจนกระทั่งมาคว้าอันดับ 4 ในพรีเมียร์ ลีก คว้าตั๋วเตะรอบคัดเลือกแชมเปี้ยนส์ ลีก

เกียรติประวัติในฐานะผู้จัดการทีม
1999 - คว้าอันดับ 2 ในการเตะรอบเพลย์ออฟดิวิชั่น 2 เดิมกับเปรสตัน นอร์ธ เอนด์
2000 - คว้าแชมป์ลีก และได้เลื่อนชั้นไปเตะดิวิชั่น 1 กับเปรสตัน
2001 - เปรสตันเป็นรองแชมป์ในการเตะรอบเพลย์ออฟเลื่อนชั้นจากดิวิชั่น 1
2009 - เอฟเวอร์ตันได้รองแชมป์เอฟเอ คัพ โดยแพ้ต่อเชลซีไป 1 - 2
รางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมผู้จัดการทีมลีก 2002-2003, 2004-2005, 2008-2009
ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งเดือนของพรีเมียร์ ลีก 10 ครั้ง

ครอบครัว
แต่งงานกับพาเมล่าภรรยา ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 2 คนคือ เดวิด จูเนียร์ อายุ 22 ปี และลูกสาวลอเรน อายุ 19 ปี

งานอดิเรก
เป็นเจ้าของร่วมของม้าแข่งที่ชื่อ เดเสิร์ต คราย ซึ่งถูกฝึกโดย โดนัลด์ แม็คเคน มันเคยแข่งที่รายการเชลท์แน่ม เฟสติวัล มาแล้ว เขายังเป็นผู้สนับสนุนพรรคแรงงานของอังกฤษ และเคยหนุนหลัง แอนดี้ เบิร์นแฮม ซึ่งเป็นแฟนบอลเอฟเวอร์ตันในการลงชิงตำแหน่งผู้นำของพรรคมาแล้วในปี 2010

การซื้อตัวที่ดีที่สุด
เขามีพรสวรรค์ในการเสาะหาเพชรเม็ดงามจากลีกล่างๆ รวมถึงการเจรจาคว้าตัวนักเตะจากทีมเล็กๆ นับตั้งแต่ ทิม เคฮิลล์ ที่คว้าตัวมาจากมิลล์วอลล์แค่ 1.5 ล้านปอนด์ ไปจนถึง โจเลออน เลสค็อตต์, ฟิล จากีลก้า และ เลห์ตัน เบนส์ เขายังนำเอา มิเกล อาร์เตต้า, มารูยาน เฟลไลนี่ และ สตีเว่น พีนาร์ ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเล่นในอังกฤษด้วย นอกจากนี้ก็ยังเป็นคนดัน เวย์น รูนี่ย์ ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ด้วยอายุเพียงแค่ 16 ปีเท่านั้น

การซื้อตัวที่แย่ที่สุด
เปอร์ โครลดรุ๊ป 5 ล้านปอนด์จากอูดิเนเซ่ กองหลังชาวเดนมาร์กผู้นี้ลงเล่นไปเพียงแค่ 2 เกมในฤดูกาลที่ย่ำแย่ในถิ่นกูดิสัน พาร์ค ยังมี ดินิยาร์ บิลยาเลตดินอฟ อีกคนที่เซ็นสัญญามาจากโลโคโมทีฟ มอสโกว์ ด้วยค่าตัว 8.9 ล้านปอนด์ แต่เขาก็ยิงให้กับทีมได้เพียงแค่ 8 ประตูเท่านั้น จากทั้งหมด 59 เกมที่ลงเล่น ก่อนที่จะย้ายกลับไปเล่นในรัสเซียเหมือนเดิม

บางอย่างที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับเขา
การเข้ามารับตำแหน่งในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ในครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มอยส์ได้เดินตามรอยเท้าของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทั้งคู่ล้วนเคยฝึกฝนศาสตร์ลูกหนังกับดรัมคาเพล อเมเจอร์ส เอฟซี ในเมืองกลาสโกว์มาเหมือนกัน ซึ่งที่นี่ถือเป็นหนึ่งในโรงงานผลิตนักเตะที่ดีที่สุดของสก็อตแลนด์

คุณพ่อของมอยส์ซึ่งชื่อเดวิดเหมือนกันเคยเป็นโค้ชให้กับสโมสรแห่งนั้น และเขาก็ช่วยขัดเกลาฝีเท้าให้กับลูกชายของเขาที่นั่น ต่อมาเขาก็ได้กลายเป็นแมวมองในทีมเอฟเวอร์ตันให้กับลูกชายของเขาด้วย

เขาได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นเอ็มบีอี สำหรับการทำงานด้านการศึกษา หลังจากที่เขาใช้เวลา 40 ปีไปกับการเป็นผู้ช่วยให้กับวิทยาลัยแอนนี่ส์แลนด์ในเมืองกลาสโกว์ ซึ่งเป็นงานที่เขามีบทบาทร่วมกับดรัมคาเพล อเมเจอร์ส ด้วย

สไตล์การทำทีม
มีปรัชญาการทำงานที่ยอดเยี่ยม เขาจะตั้งมาตรฐานขึ้นมา และคาดหวังให้ทุกคนทำตามที่เขาต้องการ เชื่อในความจงรักภักดี ระเบียบวินัย และความเป็นมืออาชีพ พาทีมเล่นด้วยความแข็งแกร่ง ไล่บี้คู่แข่ง และทีมของเขามักจะทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี

รสนิยมด้านแฟชั่น
เป็นตามแบบฉบับดั้งเดิม เรามักจะเห็นเขาใส่แจ็คเก็ตสโมสรเอฟเวอร์ตันอยู่บ่อยครั้งที่ข้างสนาม แต่เราก็ยังจะได้เห็นเขาในชุดสูทสีดำเท่ๆ ด้วยเช่นกัน

ขอเสริมอีกนิดส์นึงครับ


ด้วยความเคารพนะครับ ผมไม่อยากให้เกษตรกรรายใหม่ทุกท่านเข้าใจผิดว่า อาชีพทำการเกษตรนั้นง่าย และถ้าทำเกษตรพอเพียงก็จะทำให้ชีวิตราบรื่น สบาย ๆ
              ตลอดเวลา10 กว่าปี ที่ผมได้มาคลุกคลีกับการเพาะเห็ดฟางมีบทสรุปสำหรับท่านที่ไม่เคยทำมาก่อนว่า ไม่มีอะไรง่าย ถ้าคุณไม่ศึกษาการตลาดก่อน คุณจะเสียเปรียบพ่อค้าคนกลาง คำว่าการตลาดหมายถึง คุณต้องรู้ต้นทุนการผลิต วิธีการผลิตที่ประหยัดต้นทุน และจะนำไปขายให้ใคร ในราคาเท่าไหร่ อันนี้สำคัญที่สุดอื่น ๆ พอจะแก้ไขได้ แต่อันนี้ถ้าคุณไม่ศึกษาคุณจะขาดทุนแทบทุกครั้งที่ทำการเกษตร อีกประการหนึ่ง การทำการเกษตร ถ้าคุณทำงานตามความเห่อของตลาด จะทำให้ต้นทุนของคุณสูง ในขณะที่ผลิตผลของคุณมีความเสี่ยงกับราคาขายที่พร้อมจะตกลงเนื่องจากคนเลิกแตกตื่นหรือนิยม  การเข้าใจผิดเกี่ยวกับเกษตรพอเพียงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เกษตรกรที่ดูโฆษณาแล้ว เข้าใจผิดในวัตถุประสงค์ทำให้สิ่งที่คาดหวังไว้ไม่สำเร็จ เสด็จพ่อสอนให้เรารู้จักพอเพียง ไม่ใช้สอนคิดจะทำอะไร ๆ แค่พออยู่ได้ไปวัน ๆ สบาย ๆ หลักสำคัญที่สุดในการทำเกษตรพอเพียงแล้วจะสำเร็จก็คือ ต้องคำนวณรายจ่ายที่เราต้องใช้จ่ายในปัจจุบันและอนาคต ในรูปแบบที่ประหยัด แล้วถ้าเรามีรายได้อย่างเกษตรพอเพียงจะอยู่ได้ไหม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีลูก 2 คน กำลังเรียนอยู่มีค่าใช้จ่ายถัวเฉลี่ยต่อวัน 200 บาท ถ้าคุณจะทำเกษตรพอเพียง คุณจะต้องทำปลูกพืชกินเองเพื่อลดการซื้อ ที่เหลือขายแล้วต้องมีรายได้อย่างน้อย 200 บาท ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายของลูกที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต คนที่จะทำเกษตรพอเพียงได้ส่วนใหญ่ต้องไม่มีค่าใช้จ่ายประจำครับ และที่สำคัญต้องทำบนที่ดินตัวเองด้วย  อีกเรื่องหนึ่งการเริ่มทำการเกษตรใช่ว่าเพียงศึกษา จากการอ่านก็สามารถทำงานได้ การอ่านทำให้คุณมีความรู้ก็จริง แต่เป็นเพียงแค่องค์ประกอบหนึ่งในการทำงานแบบเกษตรกรที่มีความรู้ การลงมือทำงานจริงจึงจะให้ความรู้ที่แท้จริงของงานนั้น ๆ ในทุกงานไม่มีผู้เขียนรายใดสามารถบรรยายลักษณะการทำงานได้มากกว่า 60เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือซึ่งส่วนใหญ่คุณต้องหาเอาจากการทำงานจริง และในการเริ่มต้นนั้นคุณจะต้องทำจากเล็กคือทำแต่น้อย ใช้เงินให้น้อยที่สุด อะไรไม่จำเป็นไม่ต้องซื้อหาอะไรใช้แทนได้ก็ใช้ไป ต่อเมื่อมีความรู้ความชำนาญแล้วจึงทำใหญ่ ถ้าคุณทำดังนี้คุณจะได้เริ่มทำงาน ไม่เช่นนั้นคุณก็จะอยู่ในภาวะเก็บข้อมูลอยู่อย่างนั้น
              เกี่ยวกับเรื่องเห็ด การทำเห็ดฟางจะว่ายากก็ยากถ้าไม่รู้ แต่ถ้ารู้แล้วอะไร ๆ มันก็ไม่ใช่ปัญหา ขั้นตอนการทำงานทุกอย่างถ้าเตรียมการมาดี การเพาะเห็ดจะไม่มีปัญหาเลยทุกเรื่อง ไม่มีสิทธิ์ขาดทุน แต่ตราบใดที่คุณยังรู้ไม่หมดคุณก็ยังต้องเก็บเกี่ยวความรู้จากการทำงานจริงต่อไป การเริ่มต้นเพาะเห็ดให้เริ่มต้นจากการทำกองเตี้ย ทำ 2 แถว แถวละ 3-4 กอง เงินลงทุนเริ่มต้นไม่เกิน 700 บาท คุณลงมือทำเองเลยทุกขั้นตอน ทำไป ๆ สัก 10-20 เที่ยว ให้รู้จักนิสัยของเห็ด ให้สังเกตสิ่งแวดล้อมในกองเพาะว่า อุณหภูมิแบบนี้ อากาศแบบนี้ ความร้อนกองเพาะแบบนี้ ความชื้นแบบนี้ มีผลกับเห็ดอย่างไร ไม่ต้องคำนึงถึงรายได้หรือค่าใช้จ่าย หาความรู้อย่างเดียว จากนั้นให้ทำโรงเรือนเล็กตามที่เคยบอกในตอนก่อนหน้านี้ ยังไม่ต้องสร้างเตา เอาถังน้ำ 200 ลิตร มาตั้งนอนวางบนอิฐแดงสูงจากพื้น 20-25 ซ.ม. เติมน้ำ120 ลิตร ให้รูใหญ่อยุ่ด้านบน รูใหญ่หาหางปลาใส่แล้วต่อเข้าสายยาง เวลาเริ่มต้นต้มน้ำให้พับสายยางไว้ พอน้ำเดือดสายยางที่พับจะกางออกไปเอง เท่านี้ก็พอแล้ว อย่าลืมล้างถังให้สะอาจก่อนใช้ด้วยนะครับ ใส่ฟืนต้มน้ำเอาไปก่อน ลงทุนเริ่มต้นถ้าต้องซื้อทุกอย่าง ประมาณ 3-4 พันบาท ทดลองทำไป 10-20 เที่ยว จนแน่ใจแล้วค่อยลงทุนทำจริง ถึงตอนนั้นคุณคงจะรู้แล้วว่าจะทำใหญ่แค่ไหนจึงจะรวยมากและรวยเร็ว
การทำเห็ดฟางคุณสามารถปรับความรู้ได้เร็วมาก เพราะว่าการเพาะในรอบหนึ่ง ๆ ใช้เวลา 15-25 วัน คุณใช้เวลาหาประสบการณ์การทำงานประมาณ 6 เดือน ก็ได้แล้ว ไม่เหมือนไม้ผล 1 รอบใช้เวลา 1 ปี ปัญหาอยู่ที่ว่าคุณมีความอดทนที่จะทำงานเพื่อเรียนรู้ได้ไหม 6 เดือน มีเกษตรกรบางท่านแนะนำให้ปลูกเห็ดฟางกองเตี้ยก็พอ ลงทุนไม่มาก จริงครับ แต่มีความแตกต่างกันมากเลยครับ ในโรงเรือนขนาด 60 ตารางเมตร มีข้อแตกต่างดังนี้ครับ
1.คุณต้องทำกองเตี้ย 80 กอง จะเท่ากับ 1 โรงเรือน ใข้พื้นที่ทำงานมากกว่ากัน 5 เท่า
2. ใน 80 กองทำงานคนเดียว เหนื่อยมาก ๆ ไม่น่าจะทำงานได้ทัน แต่ 1 โรงเรือนทำคนเดียว สบาย ๆครับ
3.การควบคุมสภาพแวดล้อมกองเตี้ยทำได้ยาก ไปไหนไม่ได้เลย ฝนตกแดดออก ต้องคอยปรับสภาพแวดล้อมตลอด ไม่เช่นนั้นเสียหาย ทำ 1 โรงเรือน ใช้เวลาทำงานไม่เต็มวันเป็นส่วนใหญ่ครับ
4.การเก็บเห็ดกองเตี้ยคุณต้องเปิดชายผ้าคลุมกองเพาะทั้ง 80 กองทั้ง 2 ด้าน เสร็จแล้วต้องปิดให้ดีอีก ต้องคลุมฟางกันแดดอีก ใช้เวลา ไม่ต่ำ 4 – 6 ช.ม. แต่โรงเรือนแค่เปิดประตูเข้าโรงเรือนแล้วก็เก็บเห็ดได้แล้วใช้เวลาไม่ถึง 1 ช.ม. เสร็จครับ

5.ทำกองเตี้ยหน้าฝนขาดทุน หน้าหนาวไม่ได้กำไร หน้าร้อนพอได้ ทำโรงเรือนรายได้สม่ำเสมอเท่ากันครับ หน้าหนาวถ้าทำเป็นเงินดีมากแต่เกษตรกรผู้เพาะเห็ดฟางโรงเรือนที่ไม่มีความรู้จะไม่มีรายได้ครับ
6.ถ้าพูดถึงความรู้ดีเท่ากัน การทำกองเตี้ย 80 กอง เก็บเห็ดได้ประมาณ 60 – 180 ก.ก. มากน้อยไม่แน่นอน ถึงมีฝีมือก็เป็นอย่างนี้ เพราะควบคุมสภาพแวดล้อมได้ยาก ทำเห็ดโรงเรือน เก็บได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ 120-180 ก.ก. อยู่ที่ฝีมือดีแค่ไหน และถ้ามีมาตราฐานการทำงานดีเก็บเห็ดแต่ละครั้งที่เพาะ จะแตกต่างกันไม่เกิด 10-20 เปอร์เซ็นต์ ในทุกฤดูครับ
7.ทำเห็ดโรงเรือน คุณจะมีรายได้ 3-6 พันบาทต่อโรงเรือน ทั้งนี้มากน้อยขึ้นอยู่กับค่าแรงงาน แต่ทุก ๆ 3 โรงเรือน ถ้าจ้างแรงงานทุกขั้นตอนต้นทุนต่อโรงเรือนจะลดลงไป 500 -1000 บาทต่อโรงเรือน อันนี้สำคัญนะครับ ถ้าจะจ้างแรงงานต้องเพิ่มที่ละ 3 โรงเรือนต่อแรงงาน 2 คนครับ
 
    
8.การทำเห็ดกองเตี้ย คุณต้องคอยเปลี่ยนพื้นที่เพาะ หรือไม่ต้องเว้นช่วงให้ดินตากแดด เห็ดโรงเรือนแค่ล้างแล้วรอให้แห้งใช้ต่อได้แล้วครับ
9.ทำโรงเรือน 1 โรงเรือน ทำตามที่ผมเคยพูดถึงก่อนหน้านี้ ถ้าไม่เทปูน ซื้อของทุกอย่าง 5 พันบาท ใช้งานได้อย่างน้อย 2 ปี ถั่วเฉลี่ยค่าใช้จ่ายลงทุนโรงเรือน 100 บาท ต่อการทำเห็ด 1 ครั้ง
10.ขั้นตอนการเพาะเห็ดโรงเรือนยุ่งยากมาก ถ้าทำพลาดคือเสียหายทั้งโรงเรือน การแก้ไขปัญหาไม่ได้ช่วยอะไรมาก ถ้าเสียก็คือเสียทั้งหมดโรงเรือน ในกองเตี้ยขั้นตอนก็เพาะไม่มีอะไร เสียหายเป็นแถว
11.ค่าวัสดุเพาะและค่าใช้จ่ายอื่น 1 โรงเรือนใช้เงินลงทุน 3 พันบาท แพงกว่ากองเตี้ย เท่าตัว แต่กองเตี้ยใช้แรงงานมากกว่า 2 เท่าตัว


วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การหมักวัสดุเพาะ


วัสดุหลักที่ใช้ในการเพาะเห็ดฟาง มีหลายชนิด แต่ที่แนะนำให้ใช้ในการเพาะ
เห็ดฟางแบบโรงเรือน มี 3 ชนิด คือ ทลายปาล์ม กากมันสำปะหลัง และขึ้ฝ้าย ส่วนวัสดุอย่างอื่นไม่แนะนำ เพราะมีธาตุอาหารน้อยกว่าทั้ง 3 ชนิด ไม่เหมาะที่จะใช้เป็นวัสดุเพาะในเชิงพาณิชย์ แต่เนื่องจากแหล่งที่ผมเพาะเห็ด สามารถหากากมันสัมปะหลังได้โดยประหยัดต้นทุนที่สุด ผมจึงใช้ขี้ฝ้ายเป็นวัสดุหลัก ดังนั้นผมจึงถนัดการหมักกากมันสัมปะหลัง ซึ่งส่วนประกอบในการหมักได้แก่
 
1. กากมันสัมประหลัง ( 6 ตัน)
2. ยิปซั่ม  (6 กก.)
3. แร่ภูไมท์ (6 กก.)
4. EM  1 ลิตร
5. กากน้ำตาล 4ฝา
ุ6. ยูเรีย 3 กก
7. แกลบ ไม่ต่ำกว่า 6กระสอบ
8. รำ 6 ปี๊บ
9. ขี้วัว 6 กระสอบปุ๋ย
10. ถุงแดง 5 ถุง
11. ปูนขาว 6 กก.
       

วิธีการหมักวัสดุเพาะโดยใช้กากมันสัมปะหลังเป็นวัสดุเพาะ ที่ใช้ในการเพาะแบบโรงเรือน
1. ใช้คราดหรือคราดมือเสือตะกุยกากมันสัมปะหลังให้กระจายหนาประมาณ 15-20 เซ็นติเมตร โดยให้เป็นชั้น
2. เมื่อได้ชั้นที่ 1 กว้างประมาณ 4x4 เมตร  เอาวัสดุหมักทั้งหมดหว่านในกองหมักให้ทั่ว ไห้แกลบเป็นวัสดุสุดท้าย แล้วเอาฟางโรยบางๆ (ถ้ามี) จากนั้นให้เอาEMผสมกากน้ำตาลผสมน้ำ 200 ลิตร รดให้ทั่ว และทำชั้นต่อไป ขั้นตอนเหมือนกัน  ชั้นสุดท้าย( ประมาณ 4 ชั้น) ให้เอาผ้าใบ หรืผ้าฟางคลุมไว้ เป็นอันเสร็จ
3.การกลับกอง ให้กองวัสดุเพาะหนาเป็นชั้น ๆ แต่ละชั้นหนา 15 – 20 ซ.ม โดยแต่ละชั้นให้โรยอาหารเสริมตามสูตรของคุณที่มี เช่น ยิปซั่ม รำ ปูนขาว ปุ๋ย E.M ให้พอดีหมดตามส่วน โดยให้ความสูงของกองหมัก 70 ซ.ม ยาวไปเรื่อยจนหมดวัสดุเพาะ จับอุณหภูมิวัสดุเพาะว่าใช้เวลาเท่าไร จึงจะมีอุณภูมิสูงขึ้นถึง 50-55 องศา จะต้องกลับกองหมัก เพื่อให้กองหมักได้รับออกซิเจน และให้ก๊าซแอมโมเนีย(กลิ่นเหม็น)ที่เกิดจากการหมักจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการหมักเพื่อย่อยสลายธาตุอาหาร
4.จำนวนครั้งของการกลับกองวัสดุ ให้สังเกตจากว่า หากอุณหภูมิของกองหมักสูงขึ้นถึง 50 – 55 องศา โดยใช้เวลามากขึ้น ก็แสดงว่าขบวนการย่อยสลายของจุลรินทรีย์ ดำเนินไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว
การใข้วัสดุเพาะอื่นที่ไม่ใช่กากมันสัมปะหลังก็ใช้หลักการเดี่ยวกันครับ และเหตุผลที่ผมไม่ระบุจำนวนวันและจำนวนครั้งที่กลับกองเพราะ
1.อุณหภูมิของอากาศ ผมเคยเพาะเห็ดในฤดูหนาว อุณหภูมิของอากาศ 20 องศา การกลับกองแต่ละครั้งใช้เวลา 2 วัน ไม่เช่นนั้นอุณหภูมิในกองเพาะจะไม่สูงพอ อันนี้เป็นเหตุผลว่าทำไมเกษตรกรรุ่นเก่าจึงทำการเพาะเห็ดในฤดูหนาวไม่กำไร เหตุผลก็คือกองเพาะย่อยสลายไม่หมด เนื่องจากอุณหภูมิของอากาศต่ำ ทำให้อาหารที่ย่อยสลายแล้วน้อย เห็ดก็เกิดได้น้อย กองเพาะอุณหภูมิไม่สูงพอ ก็ทำให้เห็ดเกิดน้อยครับ
2.ชนิดของวัสดุเพาะ และส่วนผสมของวัสดุเพาะ มีผลต่อความร้อนของกองเพาะ
3.เคยมีข้อสงสันกันระหว่างนักวิชาการกับนักปฏิบัติว่า จำนวนวันที่ใช้หมักเท่าไรจึงเหมาะ เพราะในทางปฏิบัติถ้าหมักกองเพาะไว้นาน จะทำให้เก็บเห็ดได้มากกว่ากองเพาะที่หมักไว้เพียงไม่กี่วัน ผลจากการสังเกตและศึกษาของผมสรุปได้ว่า หากหมักวัสดุเพาะมากวันเกินไป จะทำให้วัสดุเพาะขาดความร้อน ซึ่งจะมีผลต่อการสร้างเส้นใยเห็ด แต่การหมักไว้นานๆ จะเกิดจุลินทรีย์ ประเภทแอนทิโนมัยซิท(Actinomycetes) ซึ่งจุลินทรีย์ตัวนี้จะมีขนาดเล็ก สามารถแทรกตัวได้ดี เมื่ออบไอน้ำฆ่าเชื้อแล้วจะทำให้เส้นใยเห็ดเดินตามจุลินทรีย์ที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดดอกเห็ดเป็นจำนวนมากหรือเป็นพวง ซึ่งเรียกว่าเห็ดจับหัว การเพาะเห็ดในโรงเรือนส่วนใหญ่ ถ้าหมักวัสดุเพาะน้อยวันลักษณะการเกิดดอกเห็ดจะเกิดเป็นหัว ๆ แยกห่างจากกันแต่มีขนาดดอกโตมาก เพราะฉะนั้นถ้าคุณบริหารจัดการในเรื่องการหมักวัสดุเพาะไม่ดี จะทำให้คุณได้ดอกเห็ดจำนวนน้อย แต่มีขนาดใหญ่ ถ้าหมักมากวันจะทำให้คุณเก็บเห็ดได้เป็นพวง แต่ถ้ามากวันเกินไปก็จะทำให้เห็ดเกิดน้อยเนื่องจากกองเพาะขาดความร้อน
4.ในขบวนการหมักที่มากวัน จะทำให้วัสดุเพาะขาดความร้อน ทำให้ต้องกองวัสดุเพาะหนาขึ้น เพื่อให้อุณหภูมิในกองเพาะสูงเพียงพอที่จะสร้างเส้นใยเห็ด อันมีผลทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นตาม ดังนั้นคุณจึงต้องทำการเปรียบเทียบกันว่า ถ้าคุณใช้วัสดุเพาะแบบนี้ หมักจำนวนเท่านี้วัน กองหนา เท่าไร จึงให้ผลผลิตสูงสุด บนต้นทุนต่ำสุด การทดลองในขั้นตอนนี้คุณจะต้องทำในโรงเรือนขนาดเล็กที่ผมเคยบอกในตอนต้น เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ให้ได้ก่อน ลงทุนทำจริงครับ ในข้อที่ 4 นี้สำคัญมากนะครับ เพราะถ้าคุณสามารถประหยัดต้นทุนได้ 100 บาท โดยทำให้เห็ดเกิดเพิ่มขึ้นได้ 300 บาทต่อโรงเรือน จะทำให้ต่อโรงเรือนของคุณ สร้างรายได้ 400 บาทต่อครั้ง ถ้าทำหลายโรงเรือนในปี ๆ หนึ่ง เป็นเงินมากโขเลยนะครับ
ตอนต่อไปจะพูดถึงการกองวัสดุเพาะในโรงเรือน ซึ่งไม่ค่อยมีใครพูดถึงเท่าไร ทั้ง ๆ มันมีผลโดยตรงกับผลผลิตเห็ด การเพาะแบบโรงเรือนขั้นตอนทุกขั้นตอนมีความสำคัญเท่ากันหมดครับ ถ้าผิดก็คือเสียหายทั้งหมด หรือเก็บได้น้อย ต้องรู้ให้จริงก่อนลงทุนนะครับ การเพาะเห็ดแบบโรงเรือนผู้เพาะต้องเป็นมืออาชีพหรือมีความรู้เท่านั้นครับจึงจะทำงานสำเร็จ